ด้วยความอยากเที่ยวจนตัวสั่นของผมในคืนนั้น ทำให้เกิดทริปกระทันหันภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เพียงแค่คิดว่าพรุ่งนี้อยากออกเที่ยว การจองตั๋วเครื่องบินและจองรถเช่าก็เกิดขึ้นในเวลา2ทุ่ม รวดเร็วฉับไว ไม่ต้องชวนใครเพราะไปคนเดียว ส่วนที่พักและแพลนทริปไว้ไปหาเอาหน้างานครับ 555
ทริปนี้เลยเป็นทริปง่ายๆสบายๆ เน้นที่เที่ยวเด็ดๆที่ผมคัดมาให้ทุกๆคนได้ชมกันครับ
ถ้าพร้อมแล้ว ไปลุยกันเลย!
สถานที่หลักๆที่ไปในทริปนี้ - ภูลังกา พะเยา, ตัวเมืองน่าน วัดต่างๆ
การเดินทาง - เครื่องบิน กรุงเทพ-น่าน , รถเช่า วันละ 1,000บาท
ผู้เดินทาง - เบนซ์ all alone (IG @benzjuu)
และฝากติดตามเพจด้วยนะครับ www.facebook.com/LeftHomeTraveller
Day 1
นั่งเครื่องจากกรุงเทพ มาลงน่านตอน 10.30 ผมจัดการติดต่อรถเช่าไว้เรียบร้อยที่สนามบิน (ราคาต่อวัน 1000.-) ทริปนี้จะใช้รถเช่าเป็นพาหนะหลักในการเดินทางครับ
วันนี้เราจะเดินทางจากน่านไปที่พะเยาก่อน เพื่อไปขึ้นภูลังกา ระยะทางประมาณ 200 กม. เท่านั้นเองครับ...
แต่ก่อนอื่น กองทัพต้องด้วยอาหารเลิศรส! เพราะฉะนั้นผมเลยไปสอบถามคนพื้นเมืองแถวนั้นว่ามีอะไรกิน ได้ความมาว่ามีร้านเด็ด ชื่อ “ข้าวซอยต้นน้ำ”
ถามทางเสร็จสรรพก็ขับมาถึงหน้าร้าน ต้องบอกว่าดีไซน์ตัวร้านมันแบบวินเทจไทยๆจริงๆ ตัวร้านเป็นบ้านไม้ชิคๆ ขนาดเซเว่นข้างๆยังคุมโทนไปด้วย
ผมสั่งข้าวซอยอะไรสักอย่าง (?) ต้องบอกว่า อร่อยสมคำร่ำลือจริงๆครับ ราคาถูกด้วย Recommend!!
หลังจากเติมท้องเสร็จเรียบร้อย เราก็ออกเดินไปยังภูลังกาในทันที
เส้นทางในการขับรถมาค่อนข้างยากนิดหน่อย ทางค่อนข้างชัน (แต่ถนนเรียบดีไม่มีหลุมบ่อ) และขึ้น-ลงเขาซิกแซ็กตลอดทาง แนะนำคนขับควรจะขับแข็งระดับนึงครับ
พอมาถึงภูลังกาช่วงบ่ายๆ ผมก็มาแวะที่ร้าน “Magic Mountain” เป็นร้านกาแฟที่เป็น location ในการดูทะเลหมอกที่ดีที่สุดของภูลังกาเลยทีเดียว
แต่เมื่อสอบถามคนที่ร้าน เขาบอกว่า มันไม่ได้มีทะเลหมอกสวยๆมาหลายวันแล้ว แต่เมื่อเช้าเป็นวันแรกที่หมอกลงสวย ถึงจุดนี้ก็คงต้องลุ้นแล้วละครับว่าพรุ่งนี้เช้าจะได้สัมผัสทะเลหมอกที่ดั้นด้นมาจากกรุงเทพเพื่อที่จะมาชมหรือไม่
ข้อแนะนำ - คนที่มาเที่ยวภูลังกา แนะนำว่าให้แวะเที่ยวตามทางก่อนถึงภูจะดีกว่าครับ เพราะมาถึงด้านบนนอกจากตรงร้านนี้จะไม่มีจุดท่องเที่ยวแล้ว และควรจะมาถึงบนนี้สักเย็นๆเพราะกลางวันร้อนครับ 555
คืนแรก ผมมาพักที่ โฮมสเตย์บ้านอาหรั่ง อยู่ห่างจากจุดชมวิวภูลังกาเพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ ราคาคืนละ 1000 บาท (ช่วง hi-season น่าจะแพงกว่านี้)
ห้องนอน นอนได้ 2 ท่าน ถือว่าสะอาด มีห้องน้ำในตัว แต่ไม่มีแอร์เป็นห้องพัดลม แต่กลางคืนอากาศเย็น นอนได้สบายๆครับ ทางที่พักมีอาหารเช้าให้ด้วย (แต่ไม่ได้กิน555)
ส่วนร้านอาหารที่หาได้ในละแวกนั้นมีไม่มาก ส่วนมากจะเป็นอาหารตามสั่งธรรมดา ใครอยากกินอะไรเพิ่มเติมควรซื้อเตรียมไปครับ
วันแรกก็ไม่มีอะไรมาก เหน็ดเหนื่อยจากการขับรถไกลก็ขอพักผ่อนก่อน ของจริงมันอยู่พรุ่งนี้!!
Day 2
ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 6 โมงเช้าเพื่อมาดูสิ่งนี้!!!
ผมตื่นแต่เช้ามาเจอกับทะเลหมอกที่หน้าร้าน “Magic Mountain” เจ้าเดิม เพิ่มเติมคือความฟินระดับ 10 เมื่อพบว่าวันนี้มีหมอก!!
ดูรูปว่าสวยแล้ว แต่พอได้มาดูด้วยตาตัวเอง สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ มันต่างกันลิบลับเลยครับ
(รูปที่ขึ้นปกก็วิวจากร้านนี้แหละ)
หมอกวันนี้ถือว่าไม่ได้เยอะมาก แต่แค่นี้ก็งามจับใจแล้วครับ
เช้าๆจะมีอะไรดีไปกว่าการได้มานั่งจิบโอวัลตินร้อนๆ ในอากาศเย็นๆ พร้อมกับนั่งชมวิวทิวทัศน์ขุนเขาของไทยไปพร้อมๆกัน
หลังจากจบความฟินจากการชมทะเลหมอกยามเช้า สิ่งที่ทำเป็นอย่างต่อไปก็คือออ... นอนต่อ
ที่ต้องนอนต่อเพราะต้องเก็บแรงไว้เดินทางต่อนั้นเอง หลังจากนี้ผมจะขับรถกลับเข้าตัวเมืองน่าน
วันนี้เราจะไปสัมผัสวิถีชีวิตชาวเมืองน่าน ว่าเขาใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์จริงรึเปล่า...
Advertisement
เข้าตัวเมืองน่านแล้ว สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกเลยคือหาที่พัก!! เพราะเนื่องจากเป็นทริปกระทันหันเลยต้องมาหาที่นอนแบบ walk-in
เดินหาไปมา ก็มาได้ที่นี่ “ศรีนวลลอดจ์” ราคาจะตามแบบของห้อง เริ่มต้น 900-1400 บาทราคาที่ผมได้มาคือ 1400บาท
ภายในที่พักจะมีอาหารตามสั่งขายด้วย แต่ที่ผมชอบคืออาหารเช้า จะมีให้เลือก 2 แบบคือชุดอาหารภาคกลางหรือภาคเหนือ โดยจะเซิร์ฟมาเป็นปิ่นโตน่ารักๆ
ที่พักก็จะมีจักรยานให้ยืมฟรี
ภายในห้องนอนของ “ศรีนวลลอดจ์” ห้องนอนถือว่าสวย น่ารัก ดูดี มีความมินิมอล Japan mood & tone
สะอาด มีแอร์ มีห้องน้ำในตัว
ห้องนี้เป็นห้องดีที่สุดของทางที่พัก ราคา 1400.- ครับ นอนได้ 2 ท่าน
ที่แรกที่มาเที่ยวในตัวเมืองน่านก็คือ “พระธาตุแช่แห้ง” เป็นพระธาตุที่คนเมืองน่านและนักท่องเที่ยวนิยมมาสักการะกัน
จบจากวัดแรก ก็มาต่อที่วัดที่สอง “วัดภูมินทร์ “ วัดยอดนิยมเช่นกันครับ
ผมก็ไม่ทราบว่าเป็นยังไงมายังไง แต่รูปนี้ดูเหมือนจะเป็น signature ของวัดนี้ เพราะเห็นมีจิตรกรหลายๆคนมาวาดขายรูปนี้กันเยอะ
ภาพๆนี้สามารถบ่งบอกอะไรได้หลายๆอย่าง การที่ผมได้มานั่งสัมผัสวิถีชีวิตของคนพื้นเมืองทำให้ผมได้เรียนรู้และเกิดความอบอุ่นในใจอย่างประหลาด มันทำให้ผมซึบซับบรรยากาศเหล่านี้ได้เป็นหลายชั่วโมง
ภาพแบบนี้ไม่สามารถหาดูได้ในกรุงเทพแน่ๆ การที่ชาวบ้านจะมานั่งผ่อนคลายทำกิจกรรมกับครอบครัวที่ลานวัดในช่วงเย็น
หากเป็นเราๆคนกรุงเทพมื้อเย็นก็คงเข้าห้าง หรืออาจจะกินบนรถด้วยซ้ำเพราะรถติด! วัดกรุงเทพในช่วงฟ้ามืดก็คงจะเป็นอะไรที่หลอนๆนักถ้าไม่ได้มีงานวัด
ไปสอบถามกับคนพื้นที่ว่ามีงานอะไรข้างๆวัด ได้ความมาว่า วันนี้มีถนนคนเดิน มีทุกวันศ-ส-อา ที่ข้างวัดภูมินทร์
ฟีลแบบตลาดนัดตอนเย็น คนมาซื้อของหาของกิน แล้วก็นั่งกินกันลมเย็นๆหน้าวัดที่ปูเสื่อและตั้งขันโตกไว้
และจะมีกิจกรรม เช่น รำและเล่นดนตรีพื้นเมือง
จบแล้วกับทริปขึ้นเหนือสั้นๆแบบไม่ทันตั้งตัวของผม ถึงอาจจะแพลนไม่แน่นอะไรมากมายนัก เพราะไม่ทันได้หาข้อมูลมาก แต่ก็สนุกไปอีกแบบนึงกับการได้มาตายเอาดาบหน้าด้วยตัวคนเดียว และการมาสัมผัสวิถีชีวิตชนพื้นเมือง ว่าเขาอยู่กินกันยังไง
สำหรับผู้ที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ผมต้องขอขอบพระคุณมากๆครับ แล้วเจอกันทริปหน้าคร้าบผม
LEFT HOME หนีออกจากบ้าน
วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 10.03 น.